ทิศทางหุ้นไทย 2 เดือนสุดท้ายของปี
ช่วงเวลา 5 ไตรมาสที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยได้วนเวียนขึ้นลงกว้างๆมาแล้วเกือบ 10 รอบ และล่าสุดดัชนีหุ้นไทยก็อยู่ที่ระดับเดิมๆ คือ 1,600 กว่าจุด
ตัวแปรสำคัญที่ทำให้ดัชนีหุ้นไทย มีอาการวนเวียนเฉลี่ย 2 เดือน ต่อ1 รอบนี้ ส่วนใหญ่เป็นผลจากการเปิดสงครามการค้าโลกของสหรัฐกับประเทศที่เป็นผู้เกินดุลการค้ามากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือประเทศจีน โดยมีจังหวะของการออกอาวุธมาตรการภาษีการค้า และจังหวะการเจรจาเป็นตัวขับเคลื่อนวงจรราคาหุ้น
ตัวแปรรองลงมาเป็นผลจากเรื่องการปรับลดตัวเลขคาดการณ์ GDP Growth ของประเทศและ EPS Growth ของหุ้นไทย ตลอดจนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ และของไทย
ในเรื่องการเจรจาเพื่อยุติสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนนั้น ล่าสุดเริ่มมีความหวังในความสำเร็จที่อาจจะมีการลงนามในสัญญากัน ซึ่งก็ทำให้ราคาหุ้นทั่วโลกกระเตื้องขึ้น โดยตลาดหุ้นสหรัฐ ทำ New High ได้อีก ขณะนี้หุ้นไทยได้แค่ฟื้นตัว จากโซน 1,580 จุด กลับขึ้นมาเหนือ 1,600 จุด ได้อีกครั้ง และก็น่าจะขึ้นต่อไปได้อีกสักพัก
อย่างไรก็ตามตัวเลขวงเงินการค้าที่จะยกเลิกการจัดเก็บภาษีที่เก็บไปแล้ว และที่กำลังจะเก็บภาษี ยังไม่ทราบชัดเจน โดยมีข่าวว่าสหรัฐกำลังพิจารณากันอยู่ ขณะที่จีนเองก็กำลังพยายามให้ยกเลิกให้มากที่สุด เมื่อเป็นเช่นนั้น คงต้องติดตาม โดยเผื่อใจไว้เล็กน้อย หากมีเหตุการณ์ที่ไม่สมดังหวังของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
แม้ว่าเป็นช่วงเวลาการ Rebound ขึ้นของหุ้นรับข่าวแนวโน้มการเจรจาของสหรัฐกับจีน แต่ระดับดัชนีราคาหุ้น ที่ 1,640 (ระยะสั้น) และ 1,680 จุดในระยะปานกลางคงเป็นด่านทดสอบกำลังใจของผู้ลงทุน ถ้าข้อมูลเศรษฐกิจไม่น่าสนใจจริงๆ ก็อาจจะยากพอสมควรที่จะฝ่าขึ้นไปได้ในปีนี้
ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่า สงครามการค้าจากสหรัฐไม่ได้มีเป้าหมายที่จีนเพียงที่เดียว แต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เล็งทุกประเทศที่เกินดุลการค้าค่อนข้างมากกับสหรัฐ โดยมีจีนที่เป็นอันดับแรกและเป็นรายใหญ่ หากเรื่องจีนยุติลงในระดับหนึ่ง ก็อาจจะถึงคิวประเทศถัดๆไป ซึ่งที่จริงก็มีการส่งออเดิร์ฟไปที่อื่นๆประปรายบ้างแล้ว รวมถึงเหตุการณ์ที่ไทยถูกตัดสิทธิ GSP
และจากประเด็นการชะลอตัวของ GDP จึงเป็นที่มาของการที่กนง.มีมติ เมื่อ 6 พ.ย. 2562 ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25 % เป็น 1.25 % ต่อปี ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดในหลายปีเท่ากับปี 2552 ซึ่งเป็นช่วงหลังจากวิกฤต Subprime
ผมคิดว่าจากนี้ไปอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยคงจะอยู่ที่ระดับนี้อย่างค่อนข้างเหนียวแน่น เว้นแต่จะมีปัญหาหนักใจเกินคาดทางด้านเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ เรื่องของแรงซื้อ LTF ปกติแล้วผู้ลงทุนส่วนใหญ่ จะเข้าลงทุนกันช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีเสมอมา ปีนี้ก็ไม่น่าจะเป็นข้อยกเว้น จะเป็นแรงหนุนสำคัญให้หุ้นไทยได้เป็นอย่างดี
จากปมต่างๆที่ขมวดมาข้างต้น ผมคิดว่าดัชนีราคาหุ้นไทยช่วง 2 เดือนนี้คงจะยืนเกิน 1,600 จุดได้สำเร็จ และควรขยับขึ้นไปได้บ้างอาจเป็น 1,640 หรือ 1,680 จุด ด้วยโอกาสคลายตัวด้านสงครามการค้าสหรัฐ-จีน รวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ควรเป็นผลบวกต่อมูลค่าหุ้นโดยทั่วไป มีเพียงหมวดธนาคารที่นักลงทุนกังวลว่าส่วนต่างดอกเบี้ยจะหดลงในช่วงแรก แต่ผมมีความเห็นว่าเป็นเพียงเหตุการณ์สั้นๆเพียงปีแรก ขณะที่มูลค่าหุ้นธนาคารควรจะสะท้อนอนาคตทั้งหมดไม่ใช่เพียงระยะปีแรกครับ การลดลงอย่างมากของราคาหุ้นธนาคาร เป็นโอกาสของผู้ที่มองระยะยาว
ท้ายนี้ ขอประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับงานสัมมนาที่สมาคมนักวิเคราะห์จะจัดขึ้นในงาน SET in the city วันที่ 14-17 พ.ย. 2562 ที่สยามพารากอน ช่วงเวลาของสมาคมฯจะเป็นเวลา 17.00-19.00 ของทุกวัน โดยเป็นหัวข้อเกี่ยวกับการลงทุน มีการเปิดตัวหุ้นเด่นในโครงการจัดทำบทวิเคราะห์เพื่อผู้ลงทุน และตัวผมเองจะบรรยายในวันพฤหัสที่ 14 พ.ย. 2562 เรื่อง เทคนิคการใช้ IAA Consensus : คัดหุ้นทีเด็ดจาก 24 สำนักวิจัย ครับ รายละเอียดชื่อวิทยากรดูได้จาก www.iaathai.org และ Facebook IAA Fanpage
Cr. https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/648708